วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คนใจต่ำ

ผู้ทำลาย ย่ำยีสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านนับเป็นเวลาเป็นเดือนที่ผมไม่ได้เขียนบทความมาให้ท่านได้อ่านกันที่เป็นเช่นนี้เพราะผมจัดรายการวิทยุจึงต้องคอยหาโฆษณามาลงในรายการวิทยุครับจึงไม่ได้เขียนแต่วันนี้นับว่าเป็นโอกาสดีของผม ที่เข้ามาเขียนผมว่าจะเข้ามาเขียนหลายวันแล้วแต่นี่เพิ่งจะว่าง วันนี้ผมก็มาเขียนเรื่องย่ำยี ผมดูข่าวและอ่านข่าวแล้วผมสลดใจมากที่คนนับถือสาสนาพุทธแท้ๆทำไมถึงได้มีจิตใจต่ำช้ามากที่ไปขะโมยของวัดตามที่ผมเคยเขียนไว้แล้วแต่คราวนี้หนักหนาสาหัสมากที่ตัดได้แม้กระทั่งเศียรพระพุทธรูปพวกนี้เป็นมนุษย์หรือเปล่าไม่ทราบจะขะโมยอะไรก็ยังพอทำเนาแต่นี่ตัดเศียรพระไปขายทั้งๆที่สักวันหนึ่งก็ต้องเข้าวัดพึ่งพระแต่นี่ทำลายเสียก่อนแล้วน่าสงสารเขาผู้นั้นจริงๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้ผมว่ามาจากการห่างวัดของคนไทยทุกวันนี้เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนถึงจะมีแต่ก็ไม่ถี่เหมือนคนสมัยนี้จะอ้างว่าเงินไม่มีไม่พอกินต้องขะโมยของไปขายแต่คิดไหมว่าได้ทำบาปอย่างมหันต์เข้าแล้วเพราะคนที่ขะโมยของวัดไปนั้นก็ต้องเคยอยู่วัดกินข้าววัดและบวชพระมาก่อนแต่เวรกรรมอะไรจึงทำให้เขาเป็นเช่นนั้นไปได้ ผมจะนำเรื่องเก่ามาเล่าให้ฟังสักสองเรื่อง

เรื่องแรกนะครับ เรื่องนี้เกิดมานานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว เขามาขอยืมของพระเครื่องครัวทำบุญนั่นแหละเช่น จาน ชาม ช้อน หม้อ เตาและอีกหลายอย่างมากมายในวัดเขาบอกว่าเป็นงานใหญ่จึงยืมมาก และบอกบ้านเลขที่ และซอยชื่อเจ้าของบ้านได้ถูกต้องทางวัดจึงให้ไป พอถึงวันไปฉันเพลพระก็ไปที่บ้านหลังนั้นตามที่ได้นิมนต์ไว้ แต่เมื่อพระไปถึงบ้านหลังนั้นกลับเป็นอันว่าบ้านนั้นไม่ได้มีงานเลย พระจึงได้รู้ว่าโดนหลอกเสียแล้วก็กลับวัด แต่จะไปแจ้งความหรือเปล่าผมจำไม่ได้ แต่หลังจากวันนั้นให้หลังไปได้ประมาณสามเดือนทางวัดก็ได้ข่าวว่าขะโมยพวกนั้นที่มาหลอกพระเอาของวัดไปนั้นบางคนโดนรถชนตาย บางคนครอบครัวแตกแยกไม่ได้อยู่ด้วยกัน บางคนเป็นบ้าไปเลย นี่คือผลกรรมที่เขาได้สร้างไว้นี่คือเรื่งจริงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง
เรื่องที่สอง เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมานี่เองครับผมเคยเล่าไปแล้วนะครับแต่วันนี้ผมขอมาเล่าใหม่เพราะบางท่านเพิ่งจะได้อ่านกันคือวัดนี้ก็มีกระถางธูปทองเหลืองวางไว้หน้า พระแม่กวนอิม ก็มีกระถางทองเหลืองใบใหญ่วางอยู่ หนึ่งใบวางมานานแล้วอยู่มา คืนหนึ่งเวลาประมาณตีหนึ่งน่าจะได้ ก็ได้มีขะโมยมากันสองคน เพื่อจะ ขะโมยกระถางธูปทองเหลืองใบนั้นแต่ในเวลาเดียวกันพระท่าได้ตื่นมาทันเสียก่อนจึงได้ช่วยกันวิ่งตามขะโมยไปแต่ขะโมยเอากระถางธูปไปไม่ได้พอดีพระท่านตื่นมาเสียก่อน พอขะโมยถูกพระช่วยกันไล่กวดในเวลาเดียวกันขะโมยมีเพื่อนที่เป็นขะโมยด้วยกันจอดรถแอบอยู่ที่กำแพงวัดในที่มืดพอเพื่อนถูกพระวิ่งไล่มาก็สตาร์ทรถออกกันไปทันทีและในขณะที่ขะโมยทั้งสองขับรถออกไปนั้นเขาได้หันมาตะโกนให้ของลับกับพระที่ไล่กวดเขาไป นี่เป็นอย่างนี้ครับตามที่ผมได้เล่าไปแล้วครั้งก่อนแต่ท่านผู้อ่านจะเชื่อไหมครับ พอผมได้มีโอกาสผ่านไปที่วัดนี้อีกครั้งก็ได้พูดคุยกับเจ้าอาวาสวัด ท่านก็เล่าให้ผมฟังว่า โยมจำได้ไหมที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังเรื่องขะโมยมาขะโมยกระถางธูปแล้วเอาไปไม่ได้ ผมก็บอกว่าจำได้ครับเมื่อสองปีก่อน อาจารย์ท่านก็เล่าต่อไปว่าขะโมยทั้งสองนั้นนะมีอันเป็นไปแล้วทั้งสองคนคือคนหนึ่งถูกจับได้เรื่องขะโมยของและมีคดีติดตัวอีกหลายคดีและอีกคนหนึ่งอยู่ๆ ก็พูดจาเลอะเลือน นี่ขนาดยังไม่ได้เอาของวัดไปนะโยมผมก็ถามอาจารย์ต่อไปว่าอาจารย์ไปแช่งเขาหรือเปล่า อาจารย์บอกว่าอาตมาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เป็นกรรมของเขาเองที่มาขะโมยแม้กระทั้งของวัด นี่เรื่องจริงทั้งสองเรื่องและก็สามารถพิสูจน์ได้ผมเขียนมาจากคำบอกเล่าของวัดทั้งสองแห่ง นี่ขนาดยังไม่ขะโมยนะครับและคนที่เอาของวัดไปจริงๆจะทำอย่างไรครับท่าน เท่าที่ผมเป็นเด็กวัดมานะครับคนเฒ่าคนแก่และพระท่านก็บอกว่าของที่อยู่ในวัดทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของอาตมาไม่ใช่ของพระรูปใดรูปหนึ่งแต่ของที่อยู่ในวัดทั้งหมดนี้ญาติโยมเขาทำบุญทำกุศลให้กับทางวัด เขาจบเขายกมือท่วมหัวแล้ว ฉะนั้นใครก็เอาของวัดไปใช้ส่วนตัวไม่ได้แต่ถ้ายืมไปใช้งานในแต่ละครั้งนั้นได้แต่จะยึดเป็นของตนเองไม่ได้ถ้าใครเอาไปจะมีอันเป็นไปในทางไม่ดีทุกคน นี่ครับเท่าที่ผมรู้มา แล้วถ้ามีใครนำของวัดมารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เมื่อรู้แล้วกรุณานำไปคืนวัดนะครับ นี่ผมมีอีกเรื่องหนึ่งนะครับพอดีนึกขึ้นได้ผมเล่าเลยละกันเรื่องนี้ก็เกิดมาได้สิบกว่าปีแล้วครับ คนที่ผมรู้จักกันคนนี้เขารับราชการแต่เงินเดือนน้อยแต่เป็นคนชอบเข้าวัดเป็นประจำก็มีอยู่ครั้งหนึ่งทางวัดก็จะมีงานทอดผ้าป่าก็ได้รับซองผ้าป่าเพื่อจะช่วยทางวัด ผมก็เอาซองมาด้วยเหมือนกันต่างคนต่างแจกเสร็จแล้วก็เก็บซองผ้าป่านั้นไปส่งให้ทางวัดส่วนผมส่วให้เรียบร้อยแต่พี่คนที่ผมรู้จักนั้นช่วงนั้นพอดีเขาขัดสนเรื่องเงินมากจึงได้แกะซองผ้าป่าแล้วนำเงินนั้นไปใช้ส่วนตัวและในครอบครัว อยู่ต่อมาเขาไม่สบายเป็นประจำเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ถูกหัวหน้างานเพ่งเล็งคือทำอะไรไม่ดีไปหมดผัวเมียไม่เคยทะเลาะกันก็ต้องมาทะเลาะอย่างนี้อยู่เป็นประจำพี่คนนี้ก็มาบ่นกับผมว่าทำไมครอบครัวของเขาถึงเป็นอย่างนี้ คือพี่คนนี้เขาสนิดกับผมมากพอเขามาปรึกษาผม ผมก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะด้วยเหตุอะไร ผมก็เลยบอกเขาไปว่า พี่พี่ ถ้าผมพูดอะไรบางอย่างจะโกรธผมไหม พี่เขาบอกว่าบอกมาเถอะจะให้ทำอะไรถึงจะดีขึ้น ผมก็บอกว่าพี่ไม่โกรธแน่นะเขาพี่เขาก็ให้คำมั่นกับผม ผมจึงบอกไปว่า พี่จำได้ไหมมีอยู่ครั้งหนึ่งพี่นำซองผ้าป่ามาแจก พอเก็บซองผ้าป่าได้แล้ว พี่ไม่นำเงินไปคืนกับทางวัดพี่กลับนำเงินมาใช้เสียเอง เมื่อพี่เขาได้ฟังอย่างนี้พี่คนนี้เขาตกใจมากคือเขานึกไม่ถึงและลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แล้วพี่เขาก็บอกว่าถ้าจะจริงเพราะจำได้แล้วตั้งแต่นำเงินวัดตรงนั้นมาใช้ ใช่แล้วรู้สึกว่าครอบครัวและตัวเขาไม่มีความสุขเลย ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรพี่เพียงแต่ใจที่จะนำเงินไปคืนวัด พี่ก็ไม่เป็นอะไรแล้วเดี้ยวก็ดีเหมือนเดิม หลังจากวันนั้นพี่คนนี้ก็นำเงินจำนวนที่เอาไปแล้วเล่าให้หลวงพ่อฟังทั้งหมด หลวงพ่อบอกว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะเงินที่เขาทำบุญมานั้นเขาจบมาแล้วเพื่ออุทิศให้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วและให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาทีนี้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและเจ้ากรรมนายเวรเขารอของเขาอยู่เขาไม่ได้รับเขาก็โกรธนะสิจึงมาทำให้ครอบครัวของเราเดือดร้อน แต่ไม่เป็นไรเราเดือดร้อนเลยเอาไปใช้แต่นี่โยมนึกขึ้นได้แล้วนำเงินจำนวนนั้นมาคืนก็จบไม่มีอะไรแล้วไปจุดธูปไหว้พระขอพรจากท่านจะได้ดีขึ้นนะโยมและหลังจากที่นำเงินคืนทางวัดไปแล้วพี่คนนี้ก็ดีขึ้นเมียที่เคยตกงานก็ได้งานทำลูกำที่เกเรก็หยุดเกเร นี่คือเรื่องคนที่ทำไม่ดีกับวัดผลมันจะเกิดขึ้นเองโดยที่ทางวัดหลวงพ่อ เจ้าอาวาสวัดท่านก็ไม่ได้โกรธเคืองหรือสาปแช่งมันเกิดขึ้นเอง เป็นไปได้อย่างไรผมก็ตอบไม่ได้ ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านเรื่องของผมแล้วก็บอกต่อไปด้วยนะครับเพื่อจะได้เป็นกุศลกับตัวท่านเองด้วยเพราะคนทุกวันนี้ห่างวัดมากไม่รู้เลยว่าเวรกรรมเป็นอย่างไรผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าที่ผมเล่ามาให้ท่านได้อ่านนี้เป็นเรื่องจริง
สุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านจงมีความสุขมีศิลธรรมอยู่ในกายอยู่ในใจกันทุกคนนะครับ
สวัสดีครับ จากแก้ว สาริกา
http://www.sarika.sub.cc

ไม่มีความคิดเห็น: